Part III Politic by civil Means
แน่นอนว่ามี 1 ล้านคนของชาวอเมริกาและสมาชิกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากหน่วยงานของสาธารณชนที่มีส่วนร่วมทำหน้าที่บางประการทางการเมือง แต่เพราะอำนาจนั้นถูกกระจายออกไปและมีโอกาสมากขึ้นที่จะใช้อำนาจกดดันทางการเมือง ต่อองค์กรท้องถิ่น รัฐ และระดับชาติ สังคมโต้แย้งว่าเป็นความสนใจโดยส่วนรวม ได้ให้คำจำกัดความว่า เป็นการรวมตัวของความสนใจส่วนตัว เป็นการให้บริการขั้นพื้นฐานที่ดีกว่า ภายใต้ขอบเขตของประชาธิปไตยมากกว่าระบบอื่น
นักพหุนิยมไม่ปฏิเสธว่าใครจะเป็นผู้ควบคุมตำแหน่งสูงสุดในการปกครองและธุรกิจมีแนวโน้มจะมีความหลากหลายทางพื้นฐานและลักษณะ ปราศจากข้อสงสัย ผู้ชายมากมายที่ร่ำรวยมาจาก WASP (White Anglo – Saxon Protestant) เป็นครอบครัวที่เคยได้รับการศึกษาเล่าเรียน แต่ในสายตาของนักพหุนิยมนั้นเป็นเพียงข้อเท็จจริง ว่า เป็นความมั่งคั่ง ตำแหน่งทางสังคม และการศึกษาที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกันกับการมีส่วนร่วมและไม่พิสูจน์ว่า การเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยเป็นการเสแสร้งหลอกลวง
มีความเป็นจริงมากกว่าในทฤษฎีของความเป็นผู้นำของคนชั้นสูง ( elitist theory ) ว่าเป็นการรวมความมั่งคั่งในสหรัฐอเมริกาด้วยการเป็น “ ตลาดทางเศรษฐกิจ ’’ ( market economy ) และระบบธุรกิจภาษีฉันเพื่อน อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐบาลต้อบงมีผลกระทบทุกครั้ง โดยความคิดเห็นของประชาชน การเติบโตทางเศรษฐกิจได้แผ่ไปอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ความคิดเห็นที่เป็นที่นิยมในการต่อต้านสงครามเวียดนาม ยกตัวอย่างเช่น ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันอเมริกาให้ถอดถอนกำลังออกจาการเป็นปฏิปักษ์ ความคิดเห็นของประชาชนในอเมริกาอาจจะยังไม่สมบูรณ์แต่ก็ไม่มีผลอะไร แม้แต่การเลือกตั้งก็ยังเต็มไปด้วยความนัยที่แอบแฝงอยู่
Participation and Political Parties
สังคมในยุคปัจจุบัน โดยปกติแล้วเสียงของแต่ละบุคคลจะอ่อนแอมากที่จะได้ยินในเวทีของสาธารณชน เป็นการวิจารณ์โดยสังคม เสียงของพลเมืองต้องเป็นเสียงที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมความสนใจและความคิดเห็นของแต่ละบุคคล พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ เป็น 2 กลุ่มของโครงสร้างที่มีความสามารถที่จะประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันทำตามหน้าที่ ด้วยความมีประโยชน์และความมีประสิทธิภาพจากโครงสร้างที่เนหน่วยย่อยของสังคมที่ต้องพึ่งพากันบนขอบเขตของระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย
จุดประสงค์ของพรรครัฐบาล คือการเลือกเฟ้น ( Select) เสนอชื่อ ( Nominate) และสนับสนุนผู้รับสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อไปดำรงตำแหน่งในทางการเมือง ให้เกิดความเสถียรภาพตามแนวคิดตามแนวคิดของระบอบประชาธิปไตย รวมไปถึงสหรัฐ พรรคการเมืองนั้นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความล้มเหลว และปรากฏให้เห็นของพรรค 2 ระบบในสหรัฐ
Historical Background
รัฐธรรมนูญไม่ได้กล่าวถึงพรรครัฐบาลและการล้มเหลวมากมายที่พวกเขาเกลียดชัง จอร์จ วอชิงตัน พยายามที่จะหลีกเลี่ยง การสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีความสามารถที่สุดมาร่วมมือกัน โทมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นเลขานุการของรัฐ และอเล็กซานเดอร์ ฮามินสัน เป็นเลขานุการของกรมคลัง การแต่งตั้งทั้ง 2 นี้ ถือว่าเป็นของขวัญ แต่ถ้าพูดตามหลักปรัชญานั้นขัดแย้งกัน สะท้อนความคิดของวอชิงตันว่า สาธารณชนจะทำหน้าที่ดีที่สุดโดยการเรียก ความฉลาดของชาติและความกล้าหาญของสาธารณชนพลเมืองมาทำงานด้วยกันเพื่อเป็นสังคมที่ดี
ด้วยความโชคร้าย ความพยายามอันสูงส่งของวอชิงตันที่จะหลีกเลี่ยงผู้สนับสนุนข้อบกพร่องพื้นฐานทางการเมือง ความเป็นศัตรูส่วนบุคคลได้ถูกพัฒนาระหว่างเจฟเฟอร์สันและฮามินตันในบทบาทที่ใหญ่ขึ้น เป็นผลมาจากความเข้าใจขัดแย้งกันจากการปกครองและนโยบายเพื่อสาธารณชนและทั้ง 2 อย่างกลายมาเป็นการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ในปลายปี 1790 เจฟเฟอร์สัน และสาวกได้ตั้งองค์กรอิสระ พรรคที่สนับสนุนรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐเพื่อต่อต้านความแข็งแรงของนโยบายต่อต้านฝรั่งเศสของชาวสหรัฐ เช่น จอห์น อดัมส์ และอเล็กซานเดอร์ ฮามินสัน นอกจากนี้ ในปี 1789 เจฟเฟอร์สันได้เขียนไว้ว่า “ถ้าฉันไม่ได้ไปสวรรค์แต่ได้อยู่กับพรรค ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ทำไมรัฐบุรุษมากมายในสมัยเจฟเฟอร์สันให้ความวางไว้พรรครัฐบาล? ในกรณีของเจฟเฟอร์สัน การต่อต้านพรรคถูกยับยั้งโดยเฉพาะกลุ่มชาวอเมริกาจากทฤษฎีที่เชื่อในการกระทำที่มีสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคลว่าต้องดำรงอยู่ถึงวันนี้ “ฉันไม่เคยยอมให้ระบบทั้งหมดจากความคิดเห็นของฉันมาเป็นข้อปฏิบัติของพรรคอื่นๆหรือของใครก็ตาม ทั้งศาสนา หลักปรัชญา รัฐศาสตร์ หรือในอะไรก็ตาม ที่ใดก็ตามฉันขอใช้ความคิดเป็นของตัวเอง” เขาออกความคิดเห็น สรุปว่า “เช่นการติดยาเสพติดเป็นการลดคุณค่าจากอิสรภาพและศีลธรรม” ชาวอเมริกันคนอื่นในสมัยของเจฟเฟอร์สัน เหมือนบางอย่างของคนอังกฤษที่มีความคล้ายคลึงกัน เชื่อว่าพรรครัฐบาลจะสนับสนุนให้จำกัดความต้องการส่วนตัว ในค่าธรรมเนียมทั่วๆไปหรือความต้องการส่วนตัว ในความรู้สึกนี้ พรรคการเมืองจะถูกมองว่าเป็นการขยายเขตแดนของสาธารณะจากความเห็นแก่
นี้แค่ค่อยเกิดขึ้นเท่านั้นกับการถือพรรคถือพวกที่สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงในอังกฤษ ความคิดที่ว่าการแสดงออกที่แตกต่างกันในหลักปรัชญาทางการเมืองนั้นสามารถให้ผลประโยชน์ได้ (ยกตัวอย่างเช่น การจัดหาทางเลือกของนโยบายของรัฐบาล) ได้ถูกนำมาใช้ในปลายศตวรรษที่ 17 ประสบการณ์การเป็นผู้นำของรัฐบุรุษอเมริกาในศตวรรษต่อมาก็ถูกนำไปใช้ในทางที่คล้ายๆกันแม้ไม่เต็มใจยอมรับความจำเป็นของรัฐบาลในขั้นตอนของประชาธิปไตย
General Alms
พรรคการเมืองเป็นแบบอย่างของความพากเพียรที่จะเข้าครอบครองหรือรักษาไว้ซึ้งอำนาจทางการเมืองในวาระที่ได้ปฏิบัติ ความหมายรี้เป็นอำนาจในการควบคุมของการปกครองตั้งแต่สิทธิในหลักของกฎหมายระบอบประชาธิปไตย เป็นการตัดสินใจโดยการเลือกตั้งพรรคการเมือง ในการรวบรวมรัฐให้เป็นประชาธิปไตยจากการชนะการเลือกตั้ง พวกเขาค้นหาเพื่อสร้างฐานที่กว้างขวางเพื่อการปราศรัยในพรรคของเขา นี้เป็นความตั้งใจให้เป็นทางเลือกที่จะเรียกร้องให้กับพรรคเขาและพรรคอื่นๆ
รูปแบบ การประสบความสำเร็จของพรรคการเมืองเป็นค่านิยม ข้อตกลงระดับชาติ นับไม่ถ้วนจากเศรษฐกิจ สังคม ชาติพันธ์ และความต้องการของวัฒนธรรม พรรคต้องเรียกร้องให้ผู้โหวตเกิดความสนใจที่หลากหลายทั้งการไกล่เกลี่ยและการปลอมแปลงให้พวกเขาได้เข้าไปทำงานในสาขาหลักๆได้ ถึงแม้ว่าพรรคจะมีความหวังได้รับเสียงส่วนใหญ่จากกลุ่มสาวก แต่มันเป็นอิทธิพลและอำนาจในการออกกฎหมาย ปกติจะใช้จำนวนประชากรและการแบ่งออกเป็นส่วนๆจากคะแนนทั้งหมดมันสะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งผ่านญาติมิตรได้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง
การร้องเรียนผู้สมัครรับเลือกตั้งบ่อยๆดูเหมือนจะเป็นผลดีต่อการลงคะแนน เพื่อเป็นการโต้ตอบและมีพลังกว่ามีผู้ต่อต้านเขาในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งทุกวัน
ความหมายของการเมืองโดยกฎหมาย
ความผัวพัน ซึ่งเรียกว่า การออกคำสั่ง ในบางครั้ง เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต อย่างไงก็ตาม ผู้สมัครการรับเลือกตั้ง และ แนวความคิดของพรรคการเมือง หรือ ความขัดแย้งภายในประเทศ และ การนำเข้านโยบายต่างประเทศ เช่น พรรคการเมืองที่เป็นสังคมนิยม และ พรรคการเมืองที่เป็นชาตินิยม พรรคการเมืองได้นำแผนการนี้มาประยุกต์เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ และ ในทวีปยุโรป ซึ่งมีรัฐสภา และกึ่งรัฐสภา แบบประชาธิปไตย อำนาจของพรรคที่ลงแข่งขันเลือกตั้งเป็นประจำ และแต่ละกลุ่มสามารถแสดงศักยภาพให้คนในประเทศได้รับรู้ และอีกทางหนึ่งคือนโยบายระหว่างประเทศ พรรคการเมืองจะใช้เวทีสำหรับกล่าวคำปราศรัยเพื่อให้ผู้คนได้รู้จัก บุคคลที่ลงสมัครรับเลือกตั้งภายในพรรคของตน ให้กลายเป็นที่นิยมเพราะพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาจะต้องมาจากการถูกเลือก และธำรงไว้ซึ้งที่นั่งที่มาจากเสียงข้างมาก ในรัฐสภา ดังเช่น พรรคการเมืองถูกควบคุมโดยรัฐสภาถูกควบคุมโดยรัฐบาล ตามที่เป็นผล ไม่เพียงเท่านั้น พรรคการเมืองในระบบรัฐสภาที่มีจำนวนมากกว่าสามารถตั้งกฎหมายได้ หรือการปกครองโดยลำดับขั้นตอนและสามารถรวมเข้าด้วยกัน แต่ การทำความเข้าใจในนโยบายโดยเฉพาะและความนึกคิดที่ชัดเจน เปรียบเทียบคู่กับสหรัฐอเมริกา
ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการแบ่งอำนาจออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารและสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ มีคุณลักษณะผ่านการคัดเลือกคือค่อนข้างมีพื้นฐานเกี่ยวกับการเมือง โดยให้เหตุผลว่า พรรคการเมืองเสนอนโยบายที่ไม่ชัดเจนตามที่กฎหมายกำหนด ใครที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองเป็นอย่างดี จุดสำคัญคือ ผู้ที่ถูกเลือกจะขึ้นอยู่กับความนิยม สหรัฐอเมริกาใช้ระบบ 2 พรรคการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดเสถียรภาพและ ผุ้ลงสมัครรับเลือกตั้งจะแสดงความไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการเมืองในชั่วขณะ และการเมืองจะทำให้หันไปในทิศทางเดียวกัน
พรรคการเมืองแบบผสม
นักวิจารณ์พรรคการเมืองที่ทำหน้าที่ภายใต้รัฐสภาอังกฤษหรือระบบประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการคัดเลือกไม่ได้พิจารณาเฉพาะความนิยมของผู้แข่งขันเท่านั้น อย่างไรก็ตามพรรคการเมืองใดพยายามได้มาซึ่งประชาธิปไตยถูกต้องตามรัฐธรรมนูญจะสร้างความสอดคล้องกัน และการเตรียมการที่ประกอบไปด้วยภาระหน้าที่จะได้ผ่านมติที่ประชุมอย่างแน่นอน ในการเริ่มปฏิบัติการแข่งขันหาเสียง การคัดเลือกหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินรวมทั้งชำระค่าโฆษณาทางการเมือง ในเวทีกล่าวคำปราศรัยของพรรคการเมือง ข้อเสนอและนโยบายที่ดี จะเป็นกุญแจสำคัญของกลุ่ม ให้กลับมาสนับสนุนพรรคของผู้สมัครรับเลือกตั้งเกี่ยวกับการหาเสียง
ระหว่างการเลือกตั้งบทบาทการกระทำของพรรคการเมืองก็สำคัญมาก พรรคการเมืองที่ชนะร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลในระบบรัฐสภาเหมือนอังกฤษหรือในระบบประธานาธิบดีเหมือนกัน นักบริหารและสภานิติบัญญัติจะแยกออกจากกัน พรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายนี้จะมีการดำเนินงานที่ควบคู่กันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพรรคการเมืองที่มีการปกครองเหมือนกันทั้งสองอย่าง พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะมีภารกิจในการจัดตั้งระเบียบการประชุม ทางการเมืองในประเทศและสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล สำหรับพรรคการเมืองที่แพ้การเลือกตั้งจะรับหน้าที่เป็นฝายคัดค้านและคอยจับผิดความเคลื่อนไหวของรัฐบาลและจะเสนอทางเลือกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่บ่อยนักที่พรรคการเมืองจะสามารถเป็นที่พอใจของประชาชนได้อย่างตายตัว(ญี่ปุ่นภายใต้การปกครองระบบประชาธิปไตย พรรคการเมืองจะได้รับการยกเว้น) เมื่อหมดวาระผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะหาผู้นำใหม่และนโยบายใหม่
ระบบพรรคการเมืองเดี่ยว
จุดประสงค์หลักของระบบนี้คือ การนำมาซึ่งรากฐานความเสมอภาคทางการเมืองหรือสังคมใดมีการเรียกร้องรูปแบบมติชนแห่งชาติและจะเสนอทางเลือกทางการเมืองในการที่จะชนะการเลือกตั้งพรรคการเมืองสามารถรวมพรรคกันอย่างไรก็ตามในชนบทนั้นการเลือกตั้งจะไม่เป็นอิสระ
ในรัฐของอำนาจเผด็จการ พรรคการเมืองยังคงมีอยู่มากซึ่งขัดขวางทางการเมืองมันเป็นที่นิยมของมติมหาชนในบ่อยๆครั้งเป็นเพียงเครื่องมือของการวินิจฉัยการบริหารทางสังคมซึ่งทำให้อำนาจสูงขึ้น และมีการยกเลิกของพรรคฝ่ายค้าน
ในการปกครองแบบเผด็จการพรรคการเมืองทำให้บรรลุในวงกว้างของหน้าที่รวมทั้งการยอมรับของสมาชิกใหม่ของพรรคการเมือง ระดมผลในการปลุกความเชื่อและมีการความคุม ในสมาชิกพรรคนาซีและกรุงเบอร์มินที่มีฮิตเลอร์เป็นผู้นำสมาชิกคอมมิวนิสมีมากในประเทศ พรรคการเมืองกลายเป็นรัฐบาล
รัฐมีความเจริญเพิ่มมากขึ้นในบทบาทการเป็นอยู่ของประชาชนจะมีการปฏิวัติพรรคการเมืองโดยตรงหรือเจ้าหน้าที่ในระบบเจ้าขุนมูลนายของราชการ ทำงานภายใต้ความมั่นคงในการควบคุมของผู้นำของพรรคการเมือง
ความคิดของการเมืองจะเป็นพาหนะสำหรับการแสดงออกของประชากรจะหมุนเปลี่ยนทางการเมืองกลายเป็นเครื่องมือศูนย์กลางของสังคมในการควบคุมอย่างเต็มที่ซึ่งสามารถยกเลิกการทดลอง/พยายาม ในตัวบุคคลแสดงออกถึงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ในการเข้าร่วมภายใต้สถานการเล็กๆ พยายามให้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าในการต่อต้านการปกครองระบบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตามระบบพรรคการเมืองเดียวเป็นสภาพการดำเนินการ บางอย่างมีการตรึงมากหรือน้อยมากของประชาธิปไตย ก่อนปี 2000 ตัวอย่างการปฏิวัติการเมือง maxio (PRI) ซึ่งมีอำนาจเหนือการเมืองของชาวแม็กซิโอ ในประเทศอินเดียอำนาจทางการเมืองในระยะเวลาหลังได้รับเอกราช ส่วนที่เหลือการผูกขาดจะแคบลงเกี่ยวกับการชุมนุมของชาวอินเดีย( ซึ่งพรรคการเมืองมีการเหยียดหยามกัน)
พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยได้มีบทบาทสำคัญต่อการเมืองการปกครองของญี่ปุ่น ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 1950 ถึงแม้ว่าในสหรัฐอเมริกาจะไม่มีบันทึกว่าโน้มเอียงไปทางพรรคการเมืองพรรคเดียว พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยได้มีบทบาทสำคัญในทางใต้หลังจากเกิดสงครามกลางเมือง
ในกรณีของแมกซิโก PRI ได้รักษาตำแหน่งที่สำคัญไว้โดยการซื้อเสียง ข่มขู่ และ โกงการลงคะแนน ในอินเดีย ญี่ปุ่น และ อเมริกาใต้ ในส่วนนี้จะดำรงตำแหน่งและมีบทบาทที่เล็กน้อย แต่ยังคงมีการคอรัปชั่นอยู่ สังเกตได้ว่าการข่มขู่และการโกงคะแนนเสียงเลือกตั้งนั้นจะพบในทางใต้ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิและเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 1960
ระบอบประชาธิปไตยแบบระบบพรรคเดียว มีความสัมพันธ์ในวงแคบ พรรคใหญ่ๆ จะครองอำนาจและเสียงส่วนใหญ่ได้อย่างเหนียวแน่นเสมอ ในความเป็นจริงการผูกขาดอำนาจทางการเมืองมักจะอยู่ในหมู่ ผู้นำนักธุรกิจ นายธนาคาร และข้าราชการระดับสูง เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจที่ กลุ่มต่อต้านการคอรัปชั่นจะคัดค้านระบอบพรรคการเมืองเดียว เช่นใน ญี่ปุ่น และแมกซิโก เมื่อเร็วๆนี้
ระบบสองพรรค
ภายใต้ระบบสองพรรค คะแนนเสียงส่วนใหญ่จะสนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่ง และมีเพียงพรรคเดียวเท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่งรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้านทำหน้าที่ป้องกันการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาล หลักสำคัญประการหนึ่งที่เปรียบระบบสองพรรคเป็นความมั่นคงทางการเมือง ด้วยเหตุที่มี
อุดมการณ์พื้นฐานร่วมกันมักจะมีความแตกต่างกันในเรื่องที่มีความสำคัญลำดับรองลงมา ไม่เอาใจประชาชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเท่านั้น ตัวระบบสองพรรคจะเป็นหลักประกันว่านโยบายจะไม่โอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ในขณะเดียวกันหากเวลาต่อมาพรรคฝ่ายค้านได้รับการสนับสนุนมากกว่าก็สามารถรับช่วงบริหารต่อแทนรัฐบาลได้
ระบบสองพรรคไม่ได้ กำหนดว่าสามารถจัดตั้งได้เพียงแค่สองพรรคเท่านั้น บางครั้งก็มีพรรคการเมืองที่พยายามจะเป็นพรรคสำคัญพรรคที่สาม แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จ ในเยอรมันมีพรรคการเมืองที่สำคัญสองพรรคซึ่งสลับกันมีอำนาจ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งปลายปี 1990พรรคการเมืองเล็กได้มีส่วนร่วมในอำนาจ เมื่อ The Greens ได้กลายเป็นส่วนร่วมในพรรค Red – Green
ระบบหลายพรรค
พรรคการเมืองระบบหลายพรรคมักพบในประเทศที่มีพรรคการเมืองมากกว่าสองพรรคขึ้นไปแข่งขันกันเพื่อเป็นรัฐบาล ซึ่งจะหาพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชนนั้นได้ยาก จึงเกิดเป็นรัฐบาลผสม ขณะการเลือกตั้งแต่ละพรรคการเมืองจะหลีกเลี่ยงการกระทำให้พรรคเสื่อมเสียและดำเนินนโยบายที่เป็นเอกลักษณ์ของพรรค หลังจากการนับคะแนนเสียงพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงส่วนมากแต่ละพรรคต้องร่วมมือกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาล จนกระทั่งถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่หรือคณะรัฐบาลล้ม วิธีนี้นับเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับชาวอเมริกัน แต่เป็นเรื่องธรรมดาหรือนิสัย สำหรับชาวยุโรป ชาวเอเชีย และประเทศอื่นที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบรัฐสภา
ระบบหลายพรรคมีข้อดีคือผู้ลงคะแนนเสียงมีตัวเลือกมากแต่ข้อเสียคือรัฐบาลขาดเสถียรภาพ ในบางประเทศการไร้เสถียรภาพเป็นอย่างเรื้อรัง ปัญหาทำให้เกิดการขัดแย้งภายในรัฐบาลไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ หลายประเทศในยุโรปเช่นอิตาลีเป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์ตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่สอง
นโยบายของระบบพรรคการเมือง
อะไรคือสิ่งที่กำหนดจำนวนพรรคการเมืองในแต่ละชาติ
ประการแรก ชนิดของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญ ระบบประชาธิปไตยเท่านั้นทำให้พรรคการเมืองแข่งขันกันเพื่อที่จะได้ควบคุมระบบการเมืองเป็นการชั่วคราว
ประการต่อมา ในหมู่ประเทศที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ชนิดของระบบการเลือกตั้งมีผลกระทบต่อชนิดของระบบพรรคการเมือง การที่พรรคเล็กจะสามารถมีส่วนร่วมในการบริหารโดยแต่ละพรรคต้องร่วมมือกันซึ่งกลายเป็นระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรค
ประการที่สาม ระบบพรรคการเมืองบางครั้งถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับรูปแบบพื้นฐานของรัฐบาล แต่มีความแตกต่างในเรื่องวิธีในการปฏิบัติต่อพรรคการเมือง
ประการที่สี่ ประเพณีมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลและนำมาใช้ในระบบพรรคการเมือง ตั้งแต่ระบอบการแบบเผด็จการได้แพร่ขยายเป็นวงกว้าง จึงไม่น่าแปลกใจที่ระบบพรรคเดียว จะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับประเทศโลกที่สาม โดยเฉพาะในเวเนซูเอล่าและกัมพูชา ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองทั้งสองประเทศได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมประชาธิปไตย รัฐบาลทั้งสองประเทศมีสถานะที่มั่นคงมากขึ้น
ประการที่ห้า...ที่ไหนที่ห่างไกล สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือ การแบ่งแยกทางศาสนา และการเมืองการปกครอง จะทำให้การดำรงชีวิตซึมซาบกับอารมณ์ และการวางเงื่อนไขเกี่ยวกับการคิด ดังนั้น สถานการณ์การนิยมความก้าวหน้าจะค่อนไปทางระบบหลายพรรคมากกว่าระบบสองพรรค
พรรคการเมืองหลายพรรคจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยการเปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างอื่น และองค์ประกอบของเจ้าหน้าที่ในระดับสูง คือ อำนาจ ทำให้ประชาชนเพ่งความสนใจไปที่คนที่มีตำแหน่งสูงที่สุด สำหรับ กรณีเกี่ยวกับพรรคการเมืองของประเทศอังกฤษที่มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้มากกว่าสองพรรคการเมืองส่วนใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของพรรคการเมืองมีความสำคัญต่อระบบของรัฐสภา เพราะทั้งการยุบพรรคของอำนาจนิติบัญญัติ และ สมาชิกของสภานิติบัญญัติ จำเป็นต้องเหมือนกันในความคิด หรือ ทัศนคติที่ได้รับการยอมรับ หรือการเสี่ยงนำไปสู่อำนาจของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่จะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และอาจจะใช้กำลังบังคับให้ปฏิบัติตามข้อบังคับในการเอาชนะเกี่ยวกับการเมือง และ ความกดดัน นอกจากนี้ในการประเมินส่วนมากสิ่งที่เป็นเครื่องมือวัดระดับชาติที่แสดงให้เห็นว่าพยายามทำงานอย่างเต็มที่เกี่ยวกับระบบของรัฐสภาคือ การวางแผน การจัดตั้ง การคลัง และการหาเสียง เพราะบุคลิกลักษณะของผู้ท้าชิงแต่ละบุคคลไม่ใช่แผนงานของพรรคการเมือง
สิ่งอื่นที่สำคัญกับการพิจารณาคือตัวระบบการเมืองคือการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางหรือการกระจายอำนาจในประเทศระบบสหพันธรัฐ โครงสร้างของพรรคการเมืองในประเทศได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อเป็นกระจกให้กับโครงสร้างระบบสหพันธรัฐของรัฐบาล ตัวอย่างที่ใช้ได้จริงเป็นตัวอย่างที่แสดงจุดประสงค์เช่น ในสหรัฐอเมริกาผลรวมของการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีอิทธิพลต่อประเทศ แต่การนับคะแนนในแบบรัฐต่อรัฐ ในการแข่งขันผู้ชนะทั้งหมด(ผู้ชนะในแต่ละรัฐจะได้รับการลงคะแนนเสียงจากรัฐทั้งหมด) ดังนั้นในปีค.ศ.2000 George W. Bush ชนะการเลือกตั้ง แต่อย่างไรก้อตามคู่ต่อสู้ของเขาคือ Al Gore ได้รับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุดทั่วประเทศจนเป็นผู้ชนะ เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ท้าทาย ไม่ใช่แค่ผู้ที่มีชัยชนะ ในสิ่งนั้นคือสภาพแวดล้อมทางการเมือง และโครงสร้างของการกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ รัฐที่มีระดับความแข็งแรงคงที่จะมีการคัดเลือกวุฒิสมาชิกเพื่อจัดการพรรคการเมืองอย่างเป็นธรรมและเป็นตัวแทนรัฐและประชาชนอย่างเป็นทางการ และในระบบอื่นๆของระบบสหพันธรัฐก็มีการปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน
พรรคอเมริกัน ที่ต้องนำมาเปรียบเทียบเนื่องจากขาดทักษะ และพรรคอเมริกันไม่ค่อยมีอิทธิพล เพราะพวกเขาไม่ต้องการตำแหน่ง และในสหรัฐอเมริกาสังคมในชนชั้นกลางมีขนาดใหญ่กับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่คือทฤษฎีทางการเมืองมีความสำคัญเป็นอันดับแรก ในที่นี้หมายความว่าหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในการเมืองเพราะหัวรั้นในด้านเศรษฐกิจละสังคม หรือมีความสนใจในวงแคบ และแต่ละคนชอบที่จะให้มีรัฐบาลผสมซึ่งประกอบไปด้วยหลากหลายกลุ่มและมีความน่าสนใจมากกว่ากลุ่มคนที่มีขนาดใหญ่ซึ่งชอบยึดติดกับคนฉลาด ในสหรัฐอเมริกาประธานาธิบดีอยู่ห่างไกลจากประชาชนมาก และสิ่งที่สำคัญมากคือพรรคการเมืองต้องมีความตรงไปตรงมาและประสานงานกันในการดำเนินงานของรัฐบาล ในระบบของรัฐสภาพรรคการเมือง(หรือพรรครัฐบาลผสม)ต้องสร้างขึ้นจากใจความสำคัญที่สำคัญมากในแต่ละรัฐบาลใหม่
พรรคการเมือง ใช้ความเป็นอิสระเดียวกับประชาธิปไตยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นในระบบ ในการทำลายรัฐธรรมนูญสามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นการเคลื่อนที่ของระบบการปกครองแบบเผด็จการ(สังคมนิยมประชาธิปไตย หรือ พรรคนาซีที่เกิดขึ้นในเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่2) ครั้งหนึ่งในอดีตมีอำนาจของพรรคการเมืองแบบเผด็จการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นรัฐบาล ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างคือขอบข่ายการเมืองของพรรคแบบเผด็จการถูกจำกัดให้แคบลงทำให้มีผลกับพรรคคือ การออกคำสั่ง และ นโยบาย แต่ไม่ทำให้การเมปฏิบัติการส่วนใหญ่ต้องหยุดชะงักลงทั้งการหาเสียง และ การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ทำให้โครงการกลายเป็นสังคมที่บริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าการปกครองแบบเผด็จการและพรรคการเมืองแบบเผด็จการจะเหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและบังคับบัญชาอย่างเคร่งครัดแต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพ พรรคการเมืองแบบเผด็จการไม่ได้มีเจตนายกเว้นจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์ และ ความสนใจในการต่อสู้ ทำให้พวกเขาต้องการที่จะสร้างระบบบริหารที่มีขนาดใหญ่ในทุกๆที่
การทำให้อำนาจของพรรคการเมืองลดลง
ผู้เชี่ยวชาญมากมายเชื่อว่าพรรคการเมืองจะเหลือช่วงเวลาลดน้อยลงเรื่อยๆซึ่งพวกเขาได้อ้างจากการสำรวจความคิดเห็น การกัดกร่อนประเด็นที่เกี่ยวกับส่วนรวม ทั้งๆที่พรรคการเมืองรับรู้แต่ไม่สามารถควบคุมการตอบสนองการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยกว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด บ่อยครั้งที่สมาชิกพรรคของการเมืองต้องพิสูจน์ด้วยตัวของพวกเขาเอง และการแตกแยกของรายชื่อสมาชิกผู้สมัครเป็นการเลือกตั้งที่น่าเบื่อ นักวิทยาศาสตร์ทางการเมืองมีความโน้มเอียงพรรคการเมืองที่ไม่มีประโยชน์ยอมรับความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม
ทำไมผู้สังเกตการณ์บางส่วนต้องต่อสู้กับผู้บริจาคจำนวนมากที่เลือกมอบเงินให้กับผู้ท้าชิงโดยตรงมากกว่าที่จะให้กับพรรคการเมือง เพราะพวกเขาต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลเป็นหนี้ต่อพวกเขา อีกอย่างหนึ่งคือการแนะนำเพราะผลที่เกิดขึ้นจากพรรคการเมืองทำให้การต่อสู้ดิ้นรนกับการจัดชนชั้นระหว่างชนชั้นแรงงานและนักธุรกิจ ทำให้มีความเลือนลางในความสำคัญ แม้ในขณะนี้พวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาประสบความล้มเหลวในทางการเมืองแล้วก็ตาม
ในสหรัฐอเมริกา พรรคการเมืองมีความคิดเห็นที่หลากหลาย จึงจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับประชาธิปไตยในอุดมคติภายใน 10 ปีที่จะถึงนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะผ่านความยากลำบากเช่นเดียวกัน พรรคการเมืองที่เชี่ยวชาญก็จะมีอำนาจลดลงในแนวทางคัดเลือกผู้ท้าชิงเป็นภาพสะท้อนที่ไม่น่ายินดีอย่างมากที่หัวหน้าพรรคตัดสินใจเลือกใครสักคนเพื่อเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่ง เพื่อพูดโต้ตอบเกี่ยวกับประชาธิปไตยในความคิดของเรา ความเป็นจริงหรือจินตนาการนี่คือภาพสะท้อนในการช่วยเหลือตนเองที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งมีการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า(ทั้งๆที่การเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งที่แท้จริงนี้ถูกทดสอบก่อน แต่ก็ยากที่จะเข้าใจ จึงกลายเป็นเรื่องที่ห่างไกล)
ความพยายามที่จะกลายเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงตำแหน่งในรัฐที่จัดเป็นรัฐที่นิยมและที่สำคัญที่สุดในการเลือกตั้ง ทันทีที่ข้อยกเว้นกลายเป็นหลักเกณฑ์ รัฐที่แข่งขันในตอนนี้จะถูกควบคุมไว้ตั้งแต่ตอนแรก(การเลือกตั้งด้วยตัวของพวกเขาเองกลายเป็นสินแร่มหาศาลในบางรัฐ การดึงดูดภาษี และ ความแพร่หลายของเทคโนโลยี) ในรัฐอื่นๆสมาชิกจะทำการประชุมกันเพื่อทำการคัดเลือกผู้แทนและเตรียมการวางแผนในการเลือกตั้ง หลังจากไปประชุมที่รัฐเสร็จแล้วพวกเขาก็จะคัดเลือกผู้แทนตามลำดับการสนับสนุนด้วยการให้คำมั่นสัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้เข้าท้าชิงเอง
สิ่งเช่นนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยของประชาชน อย่างน้อยที่สุดก็เป็นความรู้สึกส่วนหนึ่งของคนจำนวนมากในพรรคการเมืองในการเปลี่ยนแปลงให้ดำรงตำแหน่งหรือทำหน้าที่ต่างๆ และทำให้อำนาจลดลงอย่างสม่ำเสมอเหมือนกันในสถานการณ์ของแต่ละพรรครวมทั้งพรรครัฐบาล อย่างไรก็ตามกับรัฐจำนวนมากสิ่งที่เป็นพื้นฐานคือสินทรัพย์ ประธานาธิบดีของอเมริกาต้องหาเสียงเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาและความพยายามเป็นอย่างมาก ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสามารถดำเนินการหาเสียงในการเลือกตั้งต่อไปได้ตลอดปี(ข้อเปรียบเทียบ การเลือกตั้งรัฐสภาของประเทศอังกฤษบ่อยครั้งที่การหาเสียงในช่วงสุดท้ายจะเหลือเวลาน้อยกว่า 1เดือน และเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเท่านั้น ไม่มากเท่ากับค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกา) ยิ่งไปกว่านั้นการตั้งกองทุนยังเป็นความพยายามอย่างเต็มที่อยู่ในขณะนี้ไม่เพียงแต่ความคาดหวังในตัวรัฐบาล แต่ยังรวมถึงตัวผู้ลงสมัครวุฒิสภาอีกด้วย เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่จบสิ้น
สถานการณ์นี้เป็นลักษณะเฉพาะของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่มีประเทศใดในโลกที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยให้ความสำคัญและใช้เวลาในการเลือกตั้งมากเท่านี้หรือประชาชนจะสามารถกำหนดทิศทางของประชาธิปไตยได้โดยผ่านการเปิดโอกาสให้สอบถาม
พรรคการเมืองยังคงช่วยเหลือผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งแต่ไม่สามารถปิดโอกาสให้ผู้สมัครรับรู้ถึงระดับกองทุนในประเทศ ทำอย่างไรจะสามารถเติมเต็มได้ เราจะเห็นได้จากกลุ่มผู้ที่มีผลประโยชน์จะเข้าโจมตีการเติมเต็มช่องโหว่นี้ แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับผลสืบเนื่องของอุดมคติประชาธิปไตยของประเทศ
การมีส่วนร่วมและกลุ่มผลประโยชน์
กลุ่มผลประโยชน์นี้ไม่มีการควบคุมเหนือรัฐบาล ไม่เหมือนกับการแต่งตั้งสมาชิกใหม่และผู้ที่ถูกเลือกอย่างเป็นทางการ แทนที่พวกเขาจะรวมกำลังในการออกกฎหมาย การปกครองและคำสั่งในความสนใจเป็นพิเศษในพื้นที่เฉพาะ ( ดังนั้น คำว่า กลุ่มที่มีความสนใจเฉพาะ) เป็นกลุ่มที่มีภาระหน้าที่ร่วมกันและเงินสงเคราะห์ (ธุรกิจใหญ่) การดูแลของการธนาคาร การช่วยเหลือในเรื่องที่ดิน การช่วยเหลือในเรื่องการเงินด้านการศึกษา หรือสงวนพันธุ์สัตว์ป่า ตัวอย่างเช่น พวกเราได้โต้แย้งกันโดยการตรวจสอบในความแตกต่างของกลุ่มผลประโยชน์
ประเภทของกลุ่มผลประโยชน์
โดยทั่วไปกลุ่มผลประโยชน์ได้จำแนก เป็นพื้นฐาน ทั้งหมด 4 ประเภท
อันดับแรก สมาคมกลุ่มผลประโยชน์ เป็นประเภทที่ทุกคนคุ้นเคย เป็นแบบฉบับที่เป็นชื่อพิเศษ สำนักงานแห่งชาติ คระผู้ร่วมงานที่ชำนาญและการจัดระเบียบ ทางการเมือง ซึ่งจะโยงไปในลักษณะเด่นของกลุ่ม เป้หมาย , ความเชื่อ และ คุณค่า ตัวอย่างเช่น องค์กรจะประกอบไปด้วยหลายองค์กร เช่น องค์กรผู้ผลิตแห่งชาติ (NAM) , องค์การการยิงปืนแห่งชาติ ของอเมริกา (NRA) ,สมาคมเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสี (NAACP) , องค์กรลูกจ้างแรงงาน (UAW) , สมาคมคริสเตียน (CCA) , กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (The Sierra Club ) , และ สมาคมผู้เกษียณอายุในอเมริกา (AARP)
อันดับที่สอง ไม่มีองค์กรในกลุ่มผลประโยชน์ซึ่งไม่มีชื่อเละขาดรูปแบบโครงสร้างแต่จะสะท้อนกลับมาในสังคมอย่างไม่ชัดเจน ชนกลุ่มน้อย ,วัฒนธรรม หรือ ในกลุ่มศาสนา เป็นผลมาจากการร่วมมือ , การมีอำนาจในการเมือง อิทธิพลภายใต้ความถูกต้องของกลุ่มในสถานการณ์นั้น เช่น กลุ่มผลประโยชน์ ทั่วไปจะมีมากในการพัฒนาประเทศในเอเชีย ,โลกอาหรับ, อเมริกา-ลาติน และ ตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราในแถบแอฟริกา
อันดับที่สาม สมาคมของกลุ่มผลประโยชน์มีอยู่ในการปกครองของรัฐบาล มีหน่วยงานและกระทรวงหลายกระทรวงของการปกครองมีผลประโยชน์ที่มีความแน่ใจ ในการปกครองและคำสั่งของรัฐบาลในการออกกฎหมาย ข้อคิดเห็นของประชาชนไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ดังนั้นกระทรวงกลาโหม ก็ได้ทำสัญญาร่วมกันในการสนับสนุนอาวุธเละกระทรวง เช่น แรงงาน , เกษตรกรรม และ การศึกษา บ่อยครั้งนักที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ถูกครอบงำของกลุ่มผลประโยชน์ ได้ชี้แนวทางและได้ผลรับโดยดารดำเนินการในคำสั่งของรัฐบาล
อันดับที่สี่ กลุ่มของคนที่ตัดสินใจอย่างกะทันหัน บางครั้งเป็นการพัฒนามาจากความรู้สึกของตัวบุคคล มีความไม่เห็นด้วยกับการเมือง นักเรียนทั่วไปจะเดินขบวนต่อต้านกัน ในสงครามเวียดนาม ปี1960 ถึง ต้นปี 1970 เป็นตัวอย่างที่ดีของขอเท็จจริงนี้ อัลมอนด์ได้กล่าวไว้ว่า การก่อจลาจลและการลอบสังหารผู้นำจะอยู่ในประเภทนี้ด้วย
กลุ่มผลประโยชน์ประเภทอื่นๆมีบางอย่างซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีกลุ่มที่น่าสนใจ เปรียบเทียบกับ การที่ผู้แทนสนใจในประชาชน สาเหตุทั่วไป , องค์กรเดิมจะให้ความสะดวกสบาย การศึกษา และสวัสดิ์ภาพแก่สมาชิกกว่า 300,000 คน เป็นตัวอย่างในการอธิบายของกลุ่มผลประโยชน์นี้
กลุ่มผลประโยชน์ไม่เพียงแต่จะออกคำสั่งอย่างเดียวแต่เขายังให้ความสนใจในจุดต่างๆทั้งสิ้น จุดที่สำคัญที่สุด คือ ความยุติธรรม ลักษณะนี้มีมากใน ชนกลุ่มน้อย ( เงินทุนสนับสนุน อิตาเลียน- อเมริกา) ตัวอย่างในกลุ่มศาสนา (การชุมนุมของชาวยิวในอเมริกา) กลุ่มอาชีพ (สมาคมการศึกษาของอเมริกา) กลุ่มเกษียณอายุ (กลุ่มผู้เกษียณอายุในอเมริกา) ในข้อเท็จจริงนี้ กลุ่มผลประโยชน์เอกชนส่วนมากจะหาความก้าวหน้าให้ตนเองจากกลุ่มในสมาชิกของตน
จุดสนใจของกลุ่มผลประโยชน์เป็นไปอย่างกว้างขวาง รัฐบาลสนับสนุนในจุดประสงค์ต่างๆ พวกเขาเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์แก่สังคมทั้งหมด ตัวอย่างเช่น องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ออกกฎหมายอย่างเคร่งครัด ในการป้องกันสิ่งแวดล้อมและการควบคุมพื้นที่สงวนไว้ในนโยบาย ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ตกลงกับเป้าหมายของสมาคม ก็ไม่ได้กล่าวหาว่าสมาชิกจะทำตามอย่างเคร่งครัดในการสนใจตนเอง โดยแท้จริงแล้ว ประชาชนทั้งหมดต่างก็ได้ประโยชน์ขององค์กรนี้ คือ อากาศดีและน้ำบริสุทธิ์จากการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การร่วมกันของกลุ่มผลประโยชน์แตกต่างกันในเรื่องของทรัพย์สินเป็นจำนวนมากและจะอ้างว่าเป็นเหตุผลต่างๆซึ่งจะบรรยายถึงจำนวนเงินอย่างมากมาย รัฐบาลสามารถขยายขนาดของสมาชิกและการเข้าถึงในหลายทาง พวกเขามีสิทธิในการบัญญัติกฎมายและเป็นคนตัดสิน ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมีการเผชิญหน้ากันในการออกกฎหมายกับข้าราชการทางการเมือง ช่วยเหลือและสนับสนุนในการเมือง , การจ่ายเงินมีจำนวนมาก , ชุมนุมการจัดตั้ง , การเดินบวน และเงินทุนสะสมของการเรียนการสอนของการปล่อยออกมาเป็นเรื่องที่สำคัญ
แหล่งที่มาและทฤษฎีของผู้มีอิทธิพล
กลุ่มผลประโยชน์ เป็นแบบฉบับในการทดลองของอำนาจสาธารณะในการปกครองโดยอิทธิพลของการเลือกตั้ง และสาเหตุของสาธารณะ หรือ ระดับของรัฐ พวกเขาจะทำใน 3 อันดับแรก อันดับแรกจะค้นหาตัวแทนในการเลือกตั้งโดยไม่ไว้วางใจในตัวพวกเขาเอง อันดับที่สอง ค้นหาทางเข้าของการเลือกตั้ง และ อันดับที่สาม มีการรณรงค์เป็นจำนวนมาก ในกลุ่มผลประโยชน์จะมีพื้นฐานการให้รางวัลมาตัดสินใจในการเลือกผู้แทน บางกลุ่ม กลุ่มผลประโยชน์
และพนักงานจำนวน 1800 คน งบประมาณอีกเกือบ 600 ล้านดอลล่า และการแสดงออกของผู้ปกครองและผู้ต่อสู้ผู้สูงอายุชาวอเมริกัน กลุ่ม AARP เป็นกลุ่มหนึ่งอิทธิพลอย่างมากต่อกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
กลุ่มต่อต้าน(NRA)เป็นกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้อำนาจพิเศษของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ผู้นำค่อนข้างมีความลำเอียง เมื่อเร็วๆนี้กลุ่มต่อต้านได้ยืนกรานตอบโต้การใช่ปืนภายใต้ความรุนแรงเช่นการใช่อาวุธที่มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่อาชญากรรมในรัฐหนึงของอเมริกา ช่วงเย็น ในที่สุดก็สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยแกนนำจากครอบครัว ชาวนา พวกเขาเป็นผู้แทนพิเศษโดยเปลี่ยนแปลงคณะ/สมาคม กลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
ในจำนวนปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองคือตัวเลขการวิเคราะห์/ตอบรับของประชาชน, ความเข้มแข็งของสมาชิกด้วยกันและจากหลายๆฝ่ายที่พยายามอ่อนลงและนำไปสู่ความพยายามที่จะร่วมมือกันกดดันรัฐบาล แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆคือสิ่งสำคัญกว่าเงินในการเมืองอเมริกา. ตัวเลขความสัมพันธ์เล็กน้อยของความมั่งคั่งเฉพาะบุคคลบางครั้งสามารถมีอิทธิพลมากมายต่อระบบการเมือง เช่น
การเผยแพร่ด้วยสื่อต่างๆที่สิ้นเปลืองหรือการสนับสนุนเงินจำนวนมากกับการใช้สื่อ สมาชิกในกลุ่มคือบุคคลในกลุ่มนโยบาย/สาขาเดียวกัน และสื่อทางการเมืองที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อตัวแทนทางการเมืองคือการลงคะแนนเสียงของ ส.ว. ในประเด็นเฉพาะ
กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองบางครั้งได้รับผลประโยชน์จากการผูกขาดของพรรคการเมือง ในยุโรปตะวันออกกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่สำคัญในการผูกขาดกับกลุ่มบริหารในพรรคการเมือง(เช่น พรรคแรงงานในอังกฤษและกระทรวงพาณิชย์) ในอังกฤษ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองผ่านทางพรรคการเมืองทั้งสิ้น การสนับสนุนการเงินโดยตรงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พวกเขาให้สนใจ ในบางเรื่อง กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองจะหลีกเลี่ยงการพนันโดยการสนับสนุนผู้สมัครทั้งสองฝ่ายโดยพวกเดียวกันของเขาการชักชวนกลุ่มมูลนิธิตลอดจนกลุ่มงานสื่อสาร(คอมพิวเตอร์)โดยอาศัยการส่งผ่าน(จดหมาย) โดยตรงคือชื่อเสียงของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง แต่จะเคลื่อนไหวด้วยผู้นำสำคัญ การใช้เสียงของผู้นำกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองและการเผยแพร่/หาเสียงบ่อยๆของหน่วยงานส่วนหน้า ความพยายามทำให้ผู้คนเชื่อในตัวผู้แทนราษฎรหรือการสนับสนุนการตัดสินใจกระทำกิจกรรมใดๆหรือการค้านกฎหมายในแต่ละครั้งของการประชุม ผลสำเร็จของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่มีผลต่อความเชื่อในส่วนบุคคลและชื่อเสียงของเขา กลุ่มผลประโยชน์มีการแข่งขันกันบ่อยสำหรับที่ปรึกษาประธานาธิบดี(และการจ่ายแจกให้สมาชิกอย่างพอเพียง)ที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษในกรุงวอชิงตัน
ความแตกแยกของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง : ได้รับจากความก้าวหน้าทางสังคม
แม้ว่าการประมาณความสำคัญต่างกัน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าจำนวนกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในอเมริกาและการจ้างหัวคะแนนของสมาชิกรัฐสภาเพิ่มขึ้น มากกว่า 50%ในรอบ 3 ทศวรรษ วันนี้สมาคมประกอบไปด้วยอุตสาหกรรม 3 กลุ่มใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ภายในรัฐบาลเดียวและการท่องเที่ยวหนึ่งแหล่ง ประมาณปี 1991 มีเพียง 6000 ทะเบียนและประมาณ 80000 แรงงานคนสำหรับสมาคมที่มีจุดประสงค์เพื่อการโฆษณาธุรกิจและกลุ่มค้าขายเกือบ 2 ใน 3 ของทั้งหมดในกรุงวอชิงตัน . ความไม่สงบในปี 1994 โดยผู้สังเกตการณ์ ;
ข้อพิจารณา ตัวอย่างเช่น จำนวนกลุ่มผู้ฟังในงานวิจัยของกลุ่มสมาคม การฟังเติบโตจำนวนน้อยกว่า 5000 ในปี 1956 เพิ่มขึ้นมาเป็น 20000 ในทุกวันนี้ พวกเขาแสดงความคิดเห็นต่อวิถีทาง ซึ่งเป็นส่วนน้อยในทั้งหมดของอเมริกาที่เป็นกลุ่มสนใจ สิ่งแวดล้อม การรวมกลุ่มเดี่ยวประมาณ 7000 เมื่อนับเฉพาะในท้องถิ่นและตัวอย่างเช่น ในกรุงวอชิงตันมากกว่า 400 กลุ่มจาก 300 และสิ้นสุดในปี 1990 ระหว่างปี 1961 และ 1982 จำนวนสมาคมในกรุงวอชิงตันเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า อย่างกะทันหันทำให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มสมาชิกและกลุ่มรากหญ้า ซึ่งมีอยู่น้อยก่อนปี 1960 วันนี้ สมาชิกของพวกเขาเป็น หนึ่งแสนคนและมีเงินมากกว่า 4 ล้านดอลล่าต่อคน 40 ล้าน ตามหลักรัฐศาสตร์ของ รานอล ซายโกของมหาวิทยาลัยอเมริกา
เหตุผลของการแตกแยกของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองประกอบด้วยการเพิ่มพูนอย่างกะทันหันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง การเสื่อมโทรมของพรรคการเมือง การเพิ่มขึ้นของสิ่งต่างๆในสังคมอเมริกาและการให้อำนาจกับกลุ่มสังคมใหม่ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประการหนึ่งของกลุ่มผลประโยชน์ทาง
ในเวลาเดียวกันกลุ่มชาวไร่นาและคอมพิวเตอร์เทคโนโลยี สามารถเข้าหาองค์กรค่อนข้างง่ายการศึกษาระดับสูงที่เพิ่มขึ้นของแต่ละคน กลุ่มที่เรียกร้องความสนใจจากรัฐบาลและความสำเร็จของพวกเขาก็สามารถได้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม
ก่อนปี 1970 กลุ่มที่เรียกร้องความสนใจกลุ่มใหม่รู้ว่าการกระทำของคณะกรรมการทางการเมืองเป็นที่เด่นชัดในสหรัฐอเมริกาในปี 1971 การประชุมผู้แทนมีความพยายามที่จะควบคุม การเลือกตั้ง ห้ามด่าทอ บุคคลที่จดทะเบียนร่วมกันจากการให้ความช่วยเหลือโดยตรงไปยังการรณรงค์ อย่างไรก็ตามกฎหมายที่ผ่านการประชุมและชี้แจงโดยศาลแล้วไม่สามารถห้ามเป็นพิเศษของกลุ่มที่เรียกร้องความสนใจจากค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆโดยตรงได้ตลอด ทำให้ต้องเกิดคณะกรรมการขึ้น จำนวนตัวเลขของ PACs จากกึ่งกลางจนถึง 1980s ที่แสดงตัวเลขของกลุ่มที่เรียกร้องความสนใจที่ใหญ่และมีอิทธิพลกับ PACs ประกอบด้วย สมาคมที่เกี่ยวกับการแพทย์ของอเมริกา สมาคมผู้ที่ทำธุรกิจบ้านและที่ดินแห่งชาติ สมาคมผู้จัดจำหน่ายแห่งชาติ สมาคมผู้ขนส่งจดหมายแห่งชาติ,องค์กรอเมริกาของPACs:องค์กรเกี่ยวกับทันตกรรมชองอเมริกาและสหภาพมลรัฐของอเมริกาและผู้ได้รับการว่าจ้างทำงานเทศบาล
PACs มีบทบาทด้านให้เงินช่วยเหลือผู้ลงสมัครทำให้เกิดการเท่ากันแห่งประเทศชาติและระดับของอำนาจหน้าที่เวลาเดียวกัน ก็ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งมากขึ้นทุกที ต้องพึ่งพาโฆษณาทางโทรทัศน์ DIANNE FEINFPEIN ผู้เข้าข้างประชาธิปไตย วุฒิสภาจากแคลิฟอเนีย ค่าเลี้ยงดู 1 วัน $22,000 ระหว่าง 7 เดือนก่อนการเลือกตั้งในปี 1994 ถ้า FEINFPEIN ทำธุรกิจ รายได้ของรัฐบาลจากภาษีสถานที่ท่ามกลาง5อันดัน%ของบุคคลหรือบริษัทที่จดทะเบียนร่วมกันของสหรัฐอเมริกา อย่างไม่น่าเชื่อ FEINFPEIN ใช้เกินฝั่งตรงข้ามที่สนับสนุนการปกครองของสาธารณะรัฐ MICHAEL HUSSINGPOM ผู้ซึ่งใช้เงินและเวลาอย่างฟุ่มเฟือยและสินเปลืองโดยประมาณ $29ล้าน ส่วนหนึ่งของเขาเสียไปกับการรณรงค์ต่อต้าน FEINFPEIN
ผู้ที่สังเกตการณ์มากมายประณามอิทธิพลของเงินในระบบการเมืองของอเมริกา เงินเป็นปัจจัยในทางการเมือง แต่เร็วๆนี้ปัจจัยความร่ำรวยอย่างง่ายๆก็เป็นไปไม่ได้ โดยเฉลี่ยราคาของผู้ชนะชิงตำแหน่งที่นั่งมาใหม่ๆ จาก $73,000 ในปี 1976 ถึง $680,000 ในปี1996 ตำแหน่งที่นั่งวุฒิสภาจาก $595,000 ถึง $3.8ล้าน ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ดังนี้ ผู้ร่วมประชุมในโบสถ์ใจบุญเกี่ยวกับกุศลมีความเชื่อถือ
การเพิ่มขึ้นของกลุ่มผลประโยชน์ในประชาธิปไตยเกี่ยวกับรัฐสภา ของยุโรปทางด้านตะวันตกมีการยอมรับ ในประเทศชาวยุโรปจำนวนหนึ่งสนใจกลุ่มที่ถูกจับตามอง โดยรัฐบาลและได้ประสบความสำเร็จในรัฐบาล สำหรับตัวอย่างในสวีเดนและนอร์เวย์ กระทรวงได้พิจารณาถึงทุกสิ่งแล้วการกระทำซึ่งเกี่ยวกับการจัดการการถูกบังคับโดยกลุ่มผลประโยชน์ ดังเช่น กลุ่มที่สนใจในกระบวนการนโยบายในฝรั่งเศส การปรึกษาระหว่างระบบแห่งชาติกับรัฐบาลและส่วนของรอบๆสภาจำนวน500 คณะกรรมการ200 และค่านายหน้า300 การรับใช้แต่ละครั้งของรัฐบาลเหล่านั้น คือ ตัวแทนของรัฐบาลและกลุ่มผลประโยชน์ทั้งสอง
ดังเช่นกลุ่มผลประโยชน์ในสหรัฐและยุโรปทางด้านตะวันตก มีภาวะที่ได้รับขึ้นครองตำแหน่ง ชาวอเมริกาอ้างถึงผลประโยชน์พิเศษในลักษณะที่เสื่อมเสียบ่อยๆ การเพิ่มขึ้นของ PACs และเงินก้อนใหญ่ทางการเมืองได้แจกจ่ายไปทำให้มีภาพลักษณ์ในทางลบ กลุ่มผลประโยชน์คือความจำเป็น เงินที่มอบให้เกี่ยวกับพรรคการเมือง เพื่อเป้าหมายที่แน่นอนในการหาเสียงเลือกตั้งหรือพรรคการเมือง เขาชักนำพรรคพวกไปในทางทุจริตเพื่อสิ่งที่กล่าวมา ซึ่งปัจจุบันไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ระยะเวลา 10 ปี กลุ่มผลประโยชน์ต่างคอยระวังการเคลื่อนไหวในทางการโต้เถียงกับฝ่ายคุณธรรม ตอนนี้ได้ยินคำพูดเกี่ยวกับการเปิดเผยเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้นมีผลหลากหลายของกลุ่มผลประโยชน์ การประท้วงอย่างไม่อายซางได้มาความยุติธรรมให้ประชาชนได้เห็น คุยเรื่องที่น่าสนใจในที่สาธารณะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเมืองในอเมริกามีการแข่งขันกันโดยปกติผู้ชนะจะแสดงโดยอำนาจผลประโยชน์คาดหวังในสิ่งตอบแทนของข้าราชการที่ได้ช่วยเหลือ
ทำไมรัฐสภาไม่พูดเป็นจริงเป็นจังในการแก้ไปปัญหาระบบทุจริต? ขณะที่ PAC ได้สนับสนุนการปฏิรูปแผนจำกัดประชากร การเมือง การหาเสียงเลือกตั้ง ของทุกวันนี้มีระยะเวลาและผลตอบแทนสูง
การให้ความชัดเจน,เงินเป็นแหล่งอาจในระบบปฏิบัติการทางทหารในการเปลี่ยนสมัย,กลุ่มคนที่สนใจ,ผู้รับเลือกตั้งและพรรคการเมืองจะจ่ายเงินในที่ปรึกษาเพื่อโฆษณาในการปฏิวัติทางการเมือง
The rise of interest groups ในประชาธิปไตยของยุโรปตะวันตกมีแนวทางที่มุ่งมั่นมีความประทับไม่มาก บางเมืองในประเทศยุโรปกลุ่มที่สนใจทางการเมืองเป็นเหมือนข้าราชการที่จำแนกออกโดยรัฐบาลและมีสถานะภาพคล้ายรัฐบาตัวอย่างในประเทศสวีเดนและนอร์เวย์ คณะรัฐมนตรีพิจารณาถึงบทบาทเกี่ยวกับการจัดการ คือการบังคับถึงปรึกษาถึงกลุ่มที่โดยผลกระทบ ดังนี้ เป็นเหตุโดยตรงให้กลุ่มที่สนใจการะบอนการทางดารเมือง,ในประเทศฝรั่งเศส,ระบบแห่งชาติ เพื่อปรึกษาระหว่างรัฐบาลและเอกชนแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ปรึกษา 500คน คณะกรรมการ 200 และคณะกรรมการ 300 รับราชการของบุคคลเหล่านี้เป็นหน้าที่เป็นตัวแทนของทั้งรัฐบาลและกลุ่มคนที่สนใจ
ดังนั้นกลุ่มที่สนใจในอเมริกาและยุโรปทางตะวันตกมีผลประโยชน์จากการมีอำนาจคนชาวอเมริกาให้ความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องมารยาทที่ทำให้เสื่อมเสีย.การเพิ่มขึ้นของ PAC และรัฐบาลมีงบที่ช่วยเหลือเพื่อมีภาพพจน์ที่ดี และกลุ่มที่สนใจมีความยินยอมแต่ยังมีผลกระทบเงินไม่พอเพียง (เงินถูกนำไปให้พรรคการเมืองเพื่อที่จะสนับสนุนการรณรงค์และการใช้เงินหมดไปกับการสนับสนุนของผู้รับสมัครเลือกตั้งหรือพรรคการเมือง) พวกเขาซึ่งมีการทุจริตมากที่ปรากฏมากขึ้นทุกที่ซึ่ง ไม่ถูกตามกฎหมายหรือวิธีทางการเมือง
2 ทศวรรษ,กลุ่มคนที่สนใจระมัดระวังพฤติกรรมการโต้เถียงอย่างมีคุณธรรมทุกวันนี้เสียงหนึ่งจากกลุ่มการเมืองที่พูดกันผู้นำจากหลากหลายกลุ่มที่สนใจ (การพูดแทนจากชนชั้นกลาง ผู้ชำภาษี ,อพาทเมน ,บ้าน ,เจ้าของ, พลเมือง, อเมริกา, พลเมืองอเมริกา พลเมืองอาวุโส)การคัดค้านอย่างไม่อายซึ่งพวกเขาไม่ยอมรับการใช้สินค้าสาธารณะอย่างเป็นธรรมการพูดถึงความสนใจสาธารณะชนเป็นการยากที่จะมีในปัจจุบันมากเท่าที่ระบบการปกครองของอเมริกามีวิสัยทัศน์ที่เป็นรูปธรรม,ซึ่งผู้ชนะถูกพูดแทนโดยผู้มีอาจอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะได้รับรางวัลโดยข้าราชการที่พวกเขาเลือกทำไมรัฐสภาถึงไม่มีการพูดถึงผลกระทบของระบบที่เน่าเปื่อยในขณะที่พรรคPACได้รับการนิยมจากการปฎิรูปข้อเสนอมูลค่าทุนที่สูงซึ่งหมดเปลืองไปกับรณรงค์ซึ่งเป็นข้อมูลของสาธารณะ
วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 ความคิดเห็น:
ร่วมใจกันเเปลในครั้งยิ่งใหญ่
เพื่อนๆนอนดึกกันทุกคน
เพื่อว่างานนี้จะออกมาดี (มั้ง)
แสดงความคิดเห็น